โปรแกรมเมอร์คุยไรกันวะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย ฟังทีไรนึกว่าภาษาต่างดาว

นี่อาจเป็นเรื่องเม้าท์ขำขันเวลาชาว Marketing/Business คุยกันลับหลังโปรแกรมเมอร์ เราได้ยินประโยค ราวๆ นี้บ่อยๆ ก็มักจะเออออไปตามเขา

ฉันไม่เข้าใจภาษาโปรแกรมเมอร์

“มีใครในห้องนี้บ้าง ที่ไม่เข้าใจศัพท์ต่างๆ เหล่านี้?” (ตัวอย่างเช่น API, Hosting, PHP, HTML, CSS) พี่ตั้ง Warat แห่ง WiseSight ตั้งคำถามขึ้นมา

“แล้วใครในห้องนี้บ้างที่ไม่เข้าใจว่าโปรแกรมเมอร์มันคุยอะไรกัน คิดว่าเหมือนภาษาต่างดาว” คนในห้องอีกจำนวนหนึ่งก็ยกมือขึ้นมา

“นี่ไม่ใช่เรื่องตลก แต่นี่คือวิกฤต!” คำประกาศกร้าวที่ฉุดเราออกมาจากภวังค์ พี่ตั้งได้พูดต่อถึง 2 ประโยคบ่นที่ได้ยินบ่อยๆ จากคนที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ อันได้แก่…

เรื่อง Tech มันเข้าใจยากเกินไป เราไม่ได้เรียนมา หน้าที่ของเราคือการขายงานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเข้าใจ Tech

เพราะ AE/Sales/Marketer มองว่า Technology ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันก็เลยเกิดปัญหาแบบว่า “คนขายไม่ได้ทำ ส่วนคนทำก็ไม่ได้ขาย” มันก็เลยมักจะมีประโยคทำนองว่า “ไม่ทราบจริงๆ ขอกลับไปถามทีมโปรแกรมเมอร์ก่อน”

สมมติเล่นๆ ถ้าคุณเป็นคนขายผัดไทย แล้วมีลูกค้าถามมาว่า ผัดไทยที่คุณขายใส่อะไรบ้าง? คุณจะบอกว่าไม่ทราบ ขอวิ่งไปถามพ่อครัวก่อน ยังงั้นหรือ? คุณว่าคุณจะเป็นคนขายผัดไทยที่ดีไหม?

แล้วพี่ตั้งก็เล่าถึงคนๆ นึง ชื่อว่าพี่กระติก เขาเป็นเป็น Copywriter, Creative (และนักแต่งเพลงด้วย!) แต่ว่าวันนึงเขาก็ได้เป็น Creative ที่ต้องมาเป็นหัวหน้างานของเหล่าโปรแกรมเมอร์

สิ่งที่พี่กระติกทำคือการทานข้าวกลางวันร่วมกับแก๊งโปรแกรมเมอร์ทุกวัน แล้วบอกให้โปรแกรมเมอร์คุยกันตามปกติ เถียงกันเรื่องเซิร์ฟเวอร์บ้างอะไรบ้าง พี่กระติกจะร่วมรับฟังบทสนทนาของทีมโปรแกรมเมอร์เสมอ

สิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่กระติก กลายเป็น Creative ที่โปรแกรมเมอร์ทุกคนรัก เขาอาจจะไม่ถึงกับเข้าใจเทคโนโลยีทั้งหมด แต่ว่าเขาสื่อสารภาษาเทคโนโลยีได้ และมีความเข้าใจหัวอกโปรแกรมเมอร์สูงมาก

ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจโปรแกรมเมอร์มากขึ้น

ถ้าถามว่าทำอย่างไรล่ะ ฉันถึงจะเข้าใจโปรแกรมเมอร์ เรื่องราวของพี่กระติกก็คือคำตอบ

1. เปลี่ยน Mindset ซะใหม่

แทนที่จะคิดว่ายาก ก็คิดซะว่าไม่น่ายากขนาดนั้น แทนที่จะคิดว่าภาษาต่างดาว ก็คิดซะว่าเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ แทนที่จะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของฉัน ก็คิดได้แล้วว่านี่ก็อยู่ในหน้าที่ของคุณ ถ้าบอกว่าไม่เคยเรียนมา ก็ถามตัวเองซะว่า จำเป็นต้องเรียนกับครูเสมอหรอ เปิดใจกว้างๆ เหมือนเคสของพี่กระติก พี่เขาไม่ได้ทำแบบนั้นแค่ไม่กี่สัปดาห์ แต่เขากินข้าวกับแก๊งโปรแกรมเมอร์ทุกวัน “เป็นปีๆ”

2. รู้ว่าควรรู้อะไรบ้าง

โห มันมีอะไรเยอะไปหมด Javascript, API, Git, CMS, WooCommerce บลาๆ ไม่ต้องรู้หมดขนาดนั้นหรอกค่ะ คนเราสามารถสื่อสารกันพอเข้าใจได้ โดยไม่ต้องพก Dictionary คำศัพท์ถูกไหม?

ที่น่าจะรู้ คือ

  1. พวก Flow พวก Process การทำงานของโปรแกรมเมอร์แบบคร่าวๆ จะได้เข้าใจว่าเขาทำงานกันเป็นขั้นตอนอย่างไรบ้าง ควรเข้าใจว่าการเขียนโค้ดนั้นมันมีแบบแผนและขั้นตอน หากคุณสามารถคุยเรื่อง Flow Chart หรือ Data Flow Diagram กับโปรแกรมเมอร์ได้ นั่นจะช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้นมาก ซึ่งเป็นทักษะที่อ่านเพิ่มเติมเองได้ไม่ยากโดยไม่จำเป็นต้องเรียนไอทีหรือเรียนอะไรมาก่อน
  2. รู้พวกความสามารถของเทคโนโลยี (Technology Capability) ว่าเทคโนโลยีสามารถทำอะไรได้บ้าง รวมถึงรู้ข้อจำกัดของเทคโนโลยี (Technology Limitation) ว่ามีอะไรบ้างที่มันเว่อร์เกินไป เทคโนโลยีในตอนนี้ยังทำไม่ได้ หรือมันยากเกินไป สองสิ่งนี้จะช่วยให้ทำงานอยู่บนพื้นฐานความจริง ไม่รับปาก Over หรือ Under ต่อลูกค้า

Collaboration is Key

มีคนถามพี่ตั้งว่า เหตุการณ์ที่พีคที่สุดที่พี่ตั้ง ในฐานะโปรแกรมเมอร์เคยเจอ คืออะไร?

พี่ตั้งบอกว่ามีปัญหาหลายเรื่องมากที่เกิดขึ้น แต่ที่พีคที่สุดคงจะเป็นตอนที่ AE/Creative/Marketer โยนเรื่องเทคโนโลยีมาให้เป็นเรื่องของเราทั้งหมด คือให้โปรแกรมเมอร์เป็นคนคิด Product ให้เลย

ในขณะที่ความเป็นจริงแล้ว โปรแกรมเมอร์ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับลูกค้า หรือคนสายธุรกิจ โปรแกรมเมอร์สามารถให้คำแนะนำด้าน Solutions ทางเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าในเชิงลูกค้า ยังไงคนที่คุยกับลูกค้ามากกว่า เข้าใจลูกค้ามากกว่า ควรจะมีส่วนสำคัญในการคิด Product

อีกด้านนึง โปรแกรมเมอร์เองก็ควรต้องเข้าใจธุรกิจด้วย เพื่อช่วยให้ Product ออกมาตอบโจทย์ปัญหาลูกค้ามากที่สุด เพราะบางทีสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ อาจจะไม่ใช่ฟีเจอร์ใหม่ก็ได้ อาจจะแค่แก้ไขบางอย่างที่มีอยู่ ก็สามารถใช้ได้แล้ว

เวลา AE มาบอกว่าอยากได้อะไร ไม่ควรก้มหน้าก้มตาทำทันที แต่ควรสื่อสารกับ AE ถึงเหตุผลทางธุรกิจได้ด้วย ว่าจริงๆแล้วลูกค้าต้องการอะไร

เสริมจากผู้เขียน

เรื่องราวเหล่านี้เขียนขึ้นครั้งแรกในปี 2016 และเราได้ข้อมูลและแรงบันดาลใจมาจากการเข้าร่วมงาน YWC Marketing Meetup : MKT is NOW ซึ่งเป็นอีเวนต์ปิด เฉพาะเด็กค่าย YWC และเสริมความคิดเห็นของตัวเองเข้าไปเพิ่มเติมนิดหน่อย

ที่เราเลือกที่จะเขียนเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเราเพิ่งทราบปัญหานี้เป็นครั้งแรก แต่เราละอายใจจริงๆ มันเป็นปัญหาที่เราเห็น เราทราบมาโดยตลอด ว่าคนสองกลุ่มนี้ไม่เข้าใจกันขนาดไหน แต่ในฐานะที่ตัวเองเข้าใจเทคโนโลยีและธุรกิจอยู่บ้างพอสมควร กลับนิ่งเฉย อยู่กับกลุ่มไหนก็ไหลไปตามกลุ่มนั้น ไม่คิดจะทำอะไรซักอย่าง

ในวันนี้เราจึงได้กลับมาทำในสิ่งที่เราถนัด คือการเขียนเล่าต่อ แชร์ต่อเรื่องราวที่ได้เรียนรู้มา หวังว่าบทความนี้จะเป็นกำลังใจให้ทั้งสาย Business และสาย Programmer ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้นนะคะ