พอได้ไปงาน dtac Accelerate Viking Pitch เมื่อวานนี้ก็ได้ทราบว่า ปัญหาของ Startup ไทยที่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องความรู้ แต่กลับเป็นเรื่อง ภาษาอังกฤษ มีหลายคนที่ พอรู้ว่าจะเป็นอังกฤษ ก็ไม่ยอม pitch เลย การไม่ยอมก็มีตั้งแต่ การล้มเลิกเลยโดยสิ้นเชิง กับการหาคนอื่นมา pitch แทนตัวเอง
ทำไมถึงไม่ควรให้คนอื่นมา Pitch แทน
ถ้าหากว่าการ pitch คือการส่งสารข้างเดียว การหาคนที่รู้คร่าวๆว่าเราทำอะไร และช่วยถ่ายทอดได้ มันก็ไม่เลวเท่าไร ในเคส elevator pitch 30 วิ โดยไม่มี Q&A มันก็ดูเวิร์คอยู่หรอก แต่ในจุดนึง เป้าหมายของการ pitch คือการให้คนสนใจ ในชีวิตจริง เมื่อคุณพูด ก็จะมีคนถาม บนเวทีแข่งขันทั่วไป เมื่อคุณ pitch เสร็จ ก็จะมี Q&A เออ เราเคยมาละ ช่วยเพื่อน pitch แต่ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเท่าไร พอตอบคำถามไม่ได้ก็ต้องหันไม่มองเพื่อน และนี่แหละคือโมเมนต์แห่งความไม่น่าเชื่อถือ หลังๆเราก็ฉลาดขึ้นบ้าง ตอบไม่ได้ ก็ไม่หันไปมองก็ได้วะ แถคำตอบเอาเองตามไหวพริบส่วนตัวแม่งเลย แต่การแถมันก็แค่ของชั่วครู่ชั่วยามอยู่ดี ประเด็นไม่ใช่อยู่แค่การแข่งขัน และการตอบคำถามกรรมการเท่านั้น นี่ไม่ใช่เกม แต่เป็นโลกความเป็นจริง คุณต้องขายของ คุณต้อง pitch ในการทำงานจริงอยู่วันยังค่ำ
โอย แล้วทำไมต้อง pitch เป็นภาษาอังกฤษด้วย?
โครงการ accelerator ต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อการพาธุรกิจของคุณขยายตลาด จะไปต่างประเทศได้ ต้องมีทักษะภาษาอังกฤษ อันนี้มันแหงอยู่แล้ว แต่อย่าว่าแต่ไปต่างประเทศเลย เมืองไทยเป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจมากมาย ต่อให้อยากจะขยายในเมืองไทย ก็หนีไม่พ้นภาษาอังกฤษอยู่ดี
ทำธุรกิจในไทย ทำไมต้องใช้อังกฤษ – ขอเล่าประสบการณ์ตรง
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราช่วยเป็น Business Development ให้กับ Startup เรื่องการขนส่ง เชื่อไหมว่าเหล่าผู้บริหารของบริษัทขนส่งเอกชนทั้งหลาย ถึงแม้จะขนส่ง parcel ในประเทศนี่แหละ ก็มีชาวต่างชาติทำงานอยู่ทั้งนั้นเลย เจ้า A เจ้า G เจ้า K เจ้า N บลาๆ ไปมีตติ้งนัดคุยกับเขา เขามีคนไทยนะคะ แต่ก็มักเจอชาวต่างชาติร่วมด้วย และมักเป็นคนที่มีตำแหน่ง ต้องพูดภาษาอังกฤษนี่แหละขายงาน นักลงทุนก็เคยไปหานะ เจอคนต่างชาติอีกเหมือนกัน ยังไงก็หนีไม่พ้น เพราะงั้นอย่าหนีเลย
ถ้ายังไม่เก่งภาษาอังกฤษ แล้วต้องไป Pitch เรามองว่าเรื่องปัญหาภาษาอังกฤษมันต้องพัฒนาควบคู่กันไปทั้งหมด ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน เนอะ ซึ่งในบทความนี้ เราคงไม่ขอลงรายละเอียด เพราะมันจะยาวมากๆ แต่เราจะขอเล่าถึงตัวเองก่อนละกัน
เดิมทีที่เพื่อนเคยให้เราช่วย Pitch เป็นเพราะเห็นเราพอจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ แต่อยากบอกว่ามันเข้าใจผิดละ 5555 เรื่องพูดที่เราไม่เก่งเลย เราพูดไม่คล่องอะ ติดขัดเยอะอย่างน่าละอายใจ
แต่รู้ไหม สิ่งที่การ Pitch ต่างจากการสนทนาภาษาอังกฤษทั่วไป คือคุณสามารถเตรียมตัวมาก่อนได้ค่ะ และเราก็เห็นมาแล้วว่าการเตรียมตัวมาดี ทำให้เราพูดได้ดีขึ้นจริงๆ ประโยคมันติดหัว คำพูดมันติดปาก ติดขัดน้อยลง ความมั่นใจมากขึ้น
ตอนนั้นที่เราเคย pitch แล้วลงมาจากเวที ยังมีพี่หลายคนมาบอกเราเลยว่า “พี่ดูออกเลยว่าเราซ้อมมาเยอะ เราเตรียมตัวมาดี” ……เขาไม่ได้ชมว่าเราพูดดีหรืออะไร แต่เขาชมว่าเราเตรียมมาดี ……เป็นคำชมที่ดีมาก เพราะมันช่วยเพิ่มความมั่นใจของเราในครั้งต่อๆมาเช่นกัน เพราะเรารู้ว่าถึงเราอาจจะไม่ได้ดีกว่าคนอื่น แต่ที่แน่ๆ เราดีขึ้นกว่าตัวเราเองตอนที่ยังไม่ได้ซ้อม
เมื่อวานเราเองนั่งฟังคน 77 คน pitch …มาราธอนมาก หลายๆคนที่เข้ารอบ ภาษาอังกฤษเขาเก่งชิบเป๋ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่เข้ารอบ ที่เราเห็นว่า ภาษาอังกฤษเขาก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเก่งมาก แต่สิ่งที่เราเห็นคือ …เฮ้ เราดูออกแหละ ว่าใครซ้อมมาดี พอรู้ว่าซ้อมมาดี แค่ฟังเขาก็รู้สึกยิ้มออกแล้ว 🙂
สิ่งที่การซ้อมช่วยคุณได้ คือความมั่นใจมากขึ้น ในเรื่องการนำเสนอ และเรื่องภาษา แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่การซ้อมอาจช่วยคุณไม่ได้ คือเรื่อง “ความภาคภูมิใจในตัว product”
จะว่าไป ความมั่นใจใน Product นี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้ คนที่ทำจริง แตกต่างจาก คนที่เก่งภาษา แต่มาเป็นตัวแทนช่วย Pitch เฉยๆ
ว่าแต่คุณมีความมั่นใจในตัว Product หรือยัง? คุณว่าคุณได้ซ้อมมาเพียงพอแล้วหรือยัง? อย่าโทษว่าเป็นเพราะนี่เป็นภาษาอังกฤษเลย