ทำไมการเข้าค่าย 4 วัน ถึงเปลี่ยนแปลงชีวิตในช่วงมากกว่า 4 ปีที่ผ่านมาได้?

ค่ายที่เรากำลังจะพูดถึงในบทความนี้คือค่าย Young Webmastet Camp หรือ YWC เป็นค่ายสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย ให้เข้ามารวมกลุ่มกันทำโปรเจกต์เว็บไซต์เป็นเวลา 4 วัน

ถึงแม้ชื่อบทความจะเป็น ‘รีวิวค่าย’ แต่เราอยากจะเขียนรีวิวค่ายนี้ในส่วนของ ‘ชีวิตหลังค่าย’ ไม่เน้นในช่วงเวลาที่อยู่ค่าย เหตุผลเพราะ…

  1. เพราะบล็อกนี้เขียนขึ้นหลังจากเราจบค่ายมาได้ 5 ปีแล้ว (ไม่ได้แก่ แต่เวลาแค่ผ่านไปไวเกินไป =_=) เหลือความทรงจำอยู่ แต่คงจะลงรายละเอียดได้ไม่ดีพอที่จะเป็นบล็อกสมบูรณ์
  2. เวลาแค่ 4 วันมันสั้นนิดเดียว แต่เวลามากกว่า 4 ปีที่ผ่านมา (ราวๆ 1,500 วัน) ที่เราอยากจะเล่าหลังจากนี้คือชีวิตจริงๆ ที่เกิดขึ้นหลังจบค่าย

ถ้าผู้่อ่านเป็นนักศึกษามหาลัยหรือรู้จักเพื่อน/น้องในวัยนั้น บทความนี้น่าจะเป็นหนึ่งในเรื่องราวประกอบการตัดสินใจได้

ถ้าคุณไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องโดยตรง …บทความนี้เองก็ได้เล่าถึงการพัฒนาตัวเองและความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเราหลายเรื่อง อยากให้ลองติดตามดูนะคะ

ค่าย YWC ให้ประสบการณ์ชีวิตอะไรเราบ้าง

เราจะขอเล่าถึง 6 เรื่องดังต่อไปนี้

  1. ค่าย YWC สอนให้เราเอาชนะความผิดหวัง (Learn to Fail)
  2. ค่าย YWC สอนให้เรากล้ารับผิดชอบเพิ่มกว่าเดิม (Get out of Comfort Zone)
  3. ค่าย YWC ทำให้เราก้าวสู่สายคอนเทนต์
  4. YWC เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ Startup ตัวแรก
  5. YWC มอบโอกาสการทำงานและการเติบโต
  6. YWC คืออีกครอบครัว

1. ค่าย YWC สอนให้เราเอาชนะกับความผิดหวัง

ไม่ว่าจะเป็น ก่อนค่าย ระหว่างค่าย หรือ หลังจบค่าย YWC ได้ให้ประสบการณ์เราในเรื่องการ ‘ถูกปฏิเสธ’ และความผิดพลาด

พูดถึงก่อนค่าย…ในชีวิตเราตั้งแต่มัธยมจนถึงมหาลัย เราเคยสมัครเข้าโครงการต่างๆ มาเป็นสิบๆ โครงการ แต่ Young Webmaster Camp เป็นโครงการแรก ที่ตอนนั้นเราโดนปฏิเสธ

…อย่าว่าแต่ติดค่ายเลย เราไม่ติดแม้กระทั่งรอบสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ

โดยปกติแล้วเราจะอาศัยผลการเรียนเป็นจุดเด่น แต่ค่ายนี้สอนให้เรารู้ว่า ผลการเรียนไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย

ความเจ็บใจในครั้งนั้นทำให้เราไปสมัครทำงานพาร์ทไทม์ ในตำแหน่งนักเขียนรีวิวแอป iOS ให้กับเว็บไซต์มือถือเจ้าหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ทำงานหวังเงินเลย แต่ทำเพราะอยากได้ประสบการณ์และผลงานเพิ่มเติมมากกว่า เราอยากรู้ว่าคนอย่างเรา ที่เพิ่งผิดหวังจากการสมัครค่ายในสาย Content มา จะสามารถทำงาน Content จริงๆ ได้ไหม

…เรียกได้ว่าความเจ็บใจคือจุดเริ่มต้นของเรา

จนกระทั่งได้มีโอกาสติดค่ายในปีต่อมา แต่ก็ยังล้มเหลวอีกหลายครั้ง แม้แต่ในวันค่าย ผลงานเว็บไซต์ของเราไม่เสร็จพร้อมและไม่ออกมาน่าประทับใจเท่าไร หรือแม้แต่ตอนจบค่ายแล้วไปสมัครงานในสายคอนเทนต์กับบางแห่ง ก็มีบ้างที่ไม่ได้รับ Offer เข้าทำงาน

คงเรียกได้ว่าค่ายนี้เป็นหนึ่งในค่ายที่ทำให้เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเองมากที่สุด และทำให้มีแรงผลักดันที่จะเติบโตและอยากพัฒนาตัวเอง

2. ค่าย YWC สอนให้เรากล้ารับผิดชอบเพิ่มกว่าเดิม

ปกติแล้วเราจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ได้เข้าสังคมเก่งมากนัก ที่ผ่านมาทำให้เราเป็นคนชอบทำกิจกรรมเล็กๆ ไม่ถนัดกิจกรรมใหญ่ๆ มากนัก ชีวิตในช่วงมหาลัยของเราจึงไม่ได้เป็นพี่รับน้อง พี่ค่าย หรือประธานชมรมอะไรเบอร์นั้น เพิ่งจะมามีโอกาสได้เป็น ‘พี่ค่าย’ ครั้งแรกก็ตอนตัดสินใจจะกลับมาช่วยจัดค่าย YWC รุ่น 12 ให้กับรุ่นน้อง

เรื่องราวที่ทำให้เราตัดสินใจมาเป็นทีมงานจัดค่ายนั้น เราได้เคยเขียนไว้แล้วใน Facebook Post ของเรา (เนื้อหาในโพสต์ติงต๊องไปหน่อย และความจริงมีรูปที่ไม่เหมาะจะโชว์เท่าไหร่ ขออภัยล่วงหน้านะฮะ)

ใครที่ขี้เกียจกดไปอ่านต่อ เล่าแบบคร่าวๆ ก็คือเดิมทีเราไม่ได้ตั้งใจจะมาช่วยจัดค่ายตั้งแต่แรก เพราะ 1. เรามี Comfort Zone ในเรื่องการค่อนข้างเก็บตัวและไม่ถนัดทำกิจกรรม 2. เรามีนิสัยอีกเรื่องคือ “หากรู้สึกว่าตัวเองก็ยุ่งอยู่แล้ว ก็จะไม่กล้ารับงานมาทำเพิ่ม” เพราะกลัวจะทำได้ไม่ดี

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็ได้ตัดสินใจลองซักตั้ง และเมื่อมองย้อนกลับไป เราดีใจที่ได้ทำอย่างนั้น เพราะทุกวันนี้ในฐานะคนทำงานแล้ว โอกาสจะกลับไปทำกิจกรรมอีกมีน้อยมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือข้อสอง เราดีใจที่ได้เปลี่ยน Mindset ตัวเองให้มีความกล้าที่จะรับภาระความรับผิดชอบเพิ่มเติม

ซึ่งตัวเราเองก็ค้นพบว่า คนเราจะเติบโตได้เร็วขึ้น ก็ต่อเมื่อเรามีภาระความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เราจะมีความเครียดและติดขัดเยอะในช่วงแรกก็จริง แต่เราจะหาวิธีแก้ปัญหาแล้วพาตัวเองไปสู่จุดที่ดีขึ้นให้ได้

มองย้อนกลับไป Challenge ในตอนนั้นมันเล็กนิดเดียวเองเมื่อเราต้องเจอกับเรื่องที่ใหญ่กว่าตอนเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ต้องขอบคุณเหตุการณ์ในครั้งนั้นที่ได้เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้เราเติบโต

3. ค่าย YWC ทำให้เราก้าวสู่สายคอนเทนต์

เรามีจุด ‘สะกิด’ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า “เราชอบทำคอนเทนต์มากเลย” อยู่หลายจุดในชีวิต ตอนที่กลับมาเป็นพี่ค่าย YWC12 นั้นก็เป็นอีกจุดสะกิดเด่นๆ อีกจุดนึง

(ต่อเนื่องจากข้อสอง) เหตุผลนึงที่ทำให้เราไม่อึดอัดกับการรับงานมาทำเพิ่ม เพราะเรารู้สึกว่าการทำคอนเทนต์มันออกจะสนุก ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นงานหรืออะไรขนาดนั้น ต่อให้เป็นงานที่ต้องทำเพื่อ Marketing โดยมี KPI มาครอบ ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเครียดมากอะไรเบอร์นั้น ยังสนุกกับการลองคิด ลองเขียน ลองเล่นอะไรไปเรื่อยๆ

ก็เลยเป็นจุดประกายว่าเราอยากทำงานที่เกี่ยวกับคอนเทนต์ จะเป็นงานประจำหรือจะเป็นงานพาร์ทไทม์ก็ได้

มาจนถึงตอนนี้เราก็เคยผ่านมาหมดแล้วทั้งทำงานประจำที่สายอื่น และทำคอนเทนต์เป็นพาร์ทไทม์ ไปจนถึงทำงานประจำเป็นคอนเทนต์ และยังมีงานพาร์ทไทม์เป็นคอนเทนต์อีก เรียกได้ว่าก็คงอยู่กับมันได้เรื่อยๆ ไปอีกนาน

หนึ่งในผลงานเล็กๆ สนุกๆ ในตอนนั้น เราสังเกตเห็นว่าเด็กสายไอทีทุกคนเติบโตมาคลุกคลีกับการ์ตูนอย่างโปเกม่อน เราจึงนำโปเก่ม่อนมาเป็นอีกหนึ่งตัวละครเล่าเรื่องราว (สมัยนั้น Facebook ยังโพสต์แบบอัลบั้มไม่ได้ เลยทำเป็นรูปเดี่ยว) Source

4. YWC เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ Startup ตัวแรก

เราสนใจ Startup มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แต่ได้แต่ติดตามข่าวคราวเท่านั้น จนกระทั่งมีโอกาสได้ลองเข้าร่วมทีมทำ Startup แรกในชีวิต

ธุรกิจตัวนั้นมีชื่อว่า SHIPPOP ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เราได้ลองทำ Business Plan ได้ลองสัมภาษณ์ลูกค้า ได้ลองลงสนามแข่ง Startup Pitching เราทำ SHIPPOP พร้อมๆ กับทำงานประจำไปด้วย และคล้ายๆ กับการทำคอนเทนต์ เราไม่รู้สึกว่าเหนื่อยหรืออะไรเลย รู้สึกว่าสนุกมาก ได้ทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำแทบจะตลอดเวลา

CEO ของธุรกิจนี้ก็คือโมชิ สุทธิเกียรติ ซึ่งเป็นเพื่อนที่ค่าย YWC รุ่นเดียวกับเรานี่เอง อันที่จริงแล้ว ทีมที่เริ่มต้น SHIPPOP มาในยุคแรก ก็ล้วนเป็นเพื่อนๆ ในค่าย YWC กันทั้งทีม

…ดังนั้นจะบอกว่าเราเริ่มต้นเข้าสู่วงการ Startup เพราะมี YWC เป็นจุดกำเนิด ก็คงพูดได้

การทำ SHIPPOP ในครั้งนั้นจุดประกายให้เราชอบวงการ Startup มากๆ และตัดสินใจอยากเรียนรู้วงการนี้เพิ่มจนตัดสินใจเลือกทำงานประจำต่อในสายนี้เลยในเวลาต่อมา

5. YWC มอบโอกาสการทำงานและการเติบโต

SHIPPOP เป็นตัวอย่างหนึ่งของโอกาสในการทำงานที่เราเคยได้รับ อันที่จริงแล้วนอกจาก Startup เรายังได้รับโอกาสต่างๆ จากทั้งเพื่อนๆ รุ่นพี่ค่าย และพี่ๆ ผู้ใหญ่ของค่าย อยู่ในช่วงระยะเวลาตลอด 4 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าทุกคนที่ให้โอกาสกับเรา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องให้เราเป็นอรวีอย่างในทุกวันนี้

กำลังใจหรือ Support ดีๆ ก็ได้รับจากเพื่อนพี่น้องที่ค่ายอยู่บ่อยๆ

ในช่วงระยะหลังมานี้ นอกจากจะได้รับโอกาสการทำงานแล้ว เราเองก็ให้โอกาสการทำงานกับพี่ๆ เพื่อนๆ และรุ่นน้องในค่ายด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นช่างถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ดิจิทัลเอเจนซี นักเขียน กราฟิกดีไซเนอร์ ฯลฯ ต้องขอบคุณค่ายนี้อีกรอบที่ทำให้เราได้ ‘ให้’ โอกาสการทำงานกับคนอื่น และทำให้เราได้รู้จักคนดี คนเก่ง ที่สบายใจที่ได้ร่วมงานด้วย

6. YWC คืออีกครอบครัว

เราเป็นคนที่ติดนิสัยการใช้ชีวิตอย่างอิสระและสันโดษ ไปไหนมาไหนคนเดียว ทำอะไรคนเดียว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่านิสัยแบบนี้บางครั้งก็ทำให้เราแพ้ภัยตัวเอง และเหงาบ้างเป็นบางครั้งเหมือนกัน

การรวมกลุ่มทำกิจกรรมหรือไปเที่ยวของเรามีไม่บ่อยนัก และเมื่อมองย้อนดูก็พบว่าหลายๆ ครั้ง ‘ครอบครัว YWC’ ก็เป็นส่วนหนึ่งในควาทรงจำเหล่านั้นด้วย

  • มีตั้งแต่งานรับปริญญาที่มีเพื่อนๆ มาร่วมยินดีด้วย รวมถึงมีพี่ต้น YWC9 ช่วยเป็นช่างกล้องถ่ายภาพให้เราอีก
  • เล่นเกม Escape (หนีจากห้องปิดตาย) ครั้งแรกก็กับกลุ่มแก๊ง YWC
  • กิจกรรม Knowledge sharing ต่างๆ
  • กิจกรรมกีฬาสี
  • กิจกรรมวันปีใหม่

หรือแม้แต่เวลาไปงานอีเวนต์อะไรข้างนอก ก็มักเจอชาว YWC อยู่บ่อยๆ คงเรียกได้ว่า YWC เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่เรามี และทำให้ชีวิตหลายปีที่ผ่านมานี้ เราเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ

ทิ้งท้าย

ถ้าหากคุณเป็นคนที่บังเอิญได้เข้ามาอ่านบล็อกนี้ เราอยากบอกว่าค่ายนี้เปิดรับอยู่ทุกปี และในปีนี้ก็เป็น YWC รุ่น 16 แล้ว ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้าย ใกล้ปิดรับสมัครในสิ้นเดือนตุลาคม 2018 แล้วค่ะ ใครที่สนใจเข้าไปดูได้ที่ ywc.in.th นะคะ

หลายๆ เรื่องราวที่เราเล่าในบทความนี้ มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2015 ค่อนข้างมาก เราเคยเขียนเล่าประสบการณ์ปี 2015 ของเราเอาไว้ ใครสนใจไปอ่านต่อได้ที่นี่ค่ะ > รวม 15 ความทรงจำครั้งสำคัญในชีวิตปี 2015