บ๊ายบาย โปรแกรม Paint เมื่อ Microsoft ประกาศจะไม่พัฒนาเธอต่อ

อ่านข่าว เขียนข่าว ด้านเทคโนโลยี มาหลายชิ้น เห็นการเกิด การดับ ของหลายสรรพสิ่ง แต่ข่าวสั้นๆ อย่างที่ The Guardian เอย BBC เอย เพิ่งรายงานว่า Microsoft ส่งสัญญาณ จะหยุดการทำโปรแกรม Paint นี่มันกลับสะกิดใจเราเบาๆ เราคิดว่า Paint เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์โปรแกรมแรกที่เราใช้เลยแหละ ตั้งแต่เด็ก มีอยู่สองสิ่งที่เราชอบที่สุดในชีวิต สิ่งแรกคือ การวาดภาพ และสิ่งที่สองคือ การได้ลองเล่นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และทั้งสองอย่างนั้นมันรวมอยู่ในโปรแกรมนี้โปรแกรมเดียว ใช้มันตั้งแต่เป็นเด็กน้อย Interface มันยังหน้าตาประมาณนี้ จนโตขนาดขึ้นมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังอุตส่าห์ใช้มันอยู่! ในวันที่เราหัดเขียนไดอารี่ใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ Paint เราคงไม่ได้สนุกกับการคิด เล่น และสร้างสรรค์มากขนาดนี้… ไดอารี่ที่จดไว้สมัยเรียนมหาลัย เรื่องราวของสาวที่อินกับการเต้นแอโรบิกมากๆ คนนึง และแสนจะเจ็บใจเมื่อเธอต้องเป็นคนในฟากด้านขวา ไดอารี่ที่จดไว้สมัยเรียนปี 1 บ่นอะไรก็ไม่รู้ตอนนั้น แต่ภาพความเซ่อซ่าของการใส่ชุดเล่นโยคะแบบแม่บ้าน โผล่พรวดกลางวงเลคเชอร์นี่มันสุดจริงๆ ขอบคุณโปรแกรม Paint ที่มอบความสุขให้กับเราตลอดเวลาที่ผ่านมาตอนนี้เราก็โตยันทำงาน แม้ปัจจุบันจะไม่ได้แตะมันมานานซะแล้วจริงๆ เด็กรุ่นใหม่เอง ก็มีโปรแกรมดีๆ เกิดใหม่เยอะ หน้าจอ Tablet ก็ดูจะเป็นกระดานที่สนุกกว่า น้องๆ รุ่นใหม่คงไม่เคยมีประสบการณ์ต้องใช้เม้าส์ในการวาดรูปกันสินะ 55 แม้ Paint รุ่นเก่าในวัย 32 ปี จะไม่ได้รับการพัฒนาต่อ แต่จริงๆ แล้ว Microsoft เองก็กำลังปั้น Product ตัวใหม่คือ Paint 3D...

25 กรกฎาคม 2017 · Orn

วิกฤตเมื่อ AE/Creative/Marketer ไม่รู้เทคโนโลยี ไม่เข้าใจโปรแกรมเมอร์

โปรแกรมเมอร์คุยไรกันวะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย ฟังทีไรนึกว่าภาษาต่างดาว นี่อาจเป็นเรื่องเม้าท์ขำขันเวลาชาว Marketing/Business คุยกันลับหลังโปรแกรมเมอร์ เราได้ยินประโยค ราวๆ นี้บ่อยๆ ก็มักจะเออออไปตามเขา ฉันไม่เข้าใจภาษาโปรแกรมเมอร์ “มีใครในห้องนี้บ้าง ที่ไม่เข้าใจศัพท์ต่างๆ เหล่านี้?” (ตัวอย่างเช่น API, Hosting, PHP, HTML, CSS) พี่ตั้ง Warat แห่ง WiseSight ตั้งคำถามขึ้นมา “แล้วใครในห้องนี้บ้างที่ไม่เข้าใจว่าโปรแกรมเมอร์มันคุยอะไรกัน คิดว่าเหมือนภาษาต่างดาว” คนในห้องอีกจำนวนหนึ่งก็ยกมือขึ้นมา “นี่ไม่ใช่เรื่องตลก แต่นี่คือวิกฤต!” คำประกาศกร้าวที่ฉุดเราออกมาจากภวังค์ พี่ตั้งได้พูดต่อถึง 2 ประโยคบ่นที่ได้ยินบ่อยๆ จากคนที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ อันได้แก่… เรื่อง Tech มันเข้าใจยากเกินไป เราไม่ได้เรียนมา หน้าที่ของเราคือการขายงานเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเข้าใจ Tech เพราะ AE/Sales/Marketer มองว่า Technology ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันก็เลยเกิดปัญหาแบบว่า “คนขายไม่ได้ทำ ส่วนคนทำก็ไม่ได้ขาย” มันก็เลยมักจะมีประโยคทำนองว่า “ไม่ทราบจริงๆ ขอกลับไปถามทีมโปรแกรมเมอร์ก่อน” สมมติเล่นๆ ถ้าคุณเป็นคนขายผัดไทย แล้วมีลูกค้าถามมาว่า ผัดไทยที่คุณขายใส่อะไรบ้าง? คุณจะบอกว่าไม่ทราบ ขอวิ่งไปถามพ่อครัวก่อน ยังงั้นหรือ? คุณว่าคุณจะเป็นคนขายผัดไทยที่ดีไหม? แล้วพี่ตั้งก็เล่าถึงคนๆ นึง ชื่อว่าพี่กระติก เขาเป็นเป็น Copywriter, Creative (และนักแต่งเพลงด้วย!) แต่ว่าวันนึงเขาก็ได้เป็น Creative ที่ต้องมาเป็นหัวหน้างานของเหล่าโปรแกรมเมอร์...

22 ตุลาคม 2016 · Orn

Startup ไทย กับการ Pitch ภาษาอังกฤษ – ทำไมนี่จึงเป็นปัญหาใหญ่

พอได้ไปงาน dtac Accelerate Viking Pitch เมื่อวานนี้ก็ได้ทราบว่า ปัญหาของ Startup ไทยที่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องความรู้ แต่กลับเป็นเรื่อง ภาษาอังกฤษ มีหลายคนที่ พอรู้ว่าจะเป็นอังกฤษ ก็ไม่ยอม pitch เลย การไม่ยอมก็มีตั้งแต่ การล้มเลิกเลยโดยสิ้นเชิง กับการหาคนอื่นมา pitch แทนตัวเอง ทำไมถึงไม่ควรให้คนอื่นมา Pitch แทน ถ้าหากว่าการ pitch คือการส่งสารข้างเดียว การหาคนที่รู้คร่าวๆว่าเราทำอะไร และช่วยถ่ายทอดได้ มันก็ไม่เลวเท่าไร ในเคส elevator pitch 30 วิ โดยไม่มี Q&A มันก็ดูเวิร์คอยู่หรอก แต่ในจุดนึง เป้าหมายของการ pitch คือการให้คนสนใจ ในชีวิตจริง เมื่อคุณพูด ก็จะมีคนถาม บนเวทีแข่งขันทั่วไป เมื่อคุณ pitch เสร็จ ก็จะมี Q&A เออ เราเคยมาละ ช่วยเพื่อน pitch แต่ตอนนั้นยังไม่รู้อะไรเท่าไร พอตอบคำถามไม่ได้ก็ต้องหันไม่มองเพื่อน และนี่แหละคือโมเมนต์แห่งความไม่น่าเชื่อถือ หลังๆเราก็ฉลาดขึ้นบ้าง ตอบไม่ได้ ก็ไม่หันไปมองก็ได้วะ แถคำตอบเอาเองตามไหวพริบส่วนตัวแม่งเลย แต่การแถมันก็แค่ของชั่วครู่ชั่วยามอยู่ดี ประเด็นไม่ใช่อยู่แค่การแข่งขัน และการตอบคำถามกรรมการเท่านั้น นี่ไม่ใช่เกม แต่เป็นโลกความเป็นจริง คุณต้องขายของ คุณต้อง pitch ในการทำงานจริงอยู่วันยังค่ำ...

8 กันยายน 2016 · Orn

'ความปรารถนาอยากเป็นเจ้าของ' คือ ความท้าทายของโลกยุคใหม่

ใน workshop คลาสหนึ่ง ที่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่สนใจ Startup ที่นั่นเองเราได้พบกับคุณน้าท่านหนึ่ง เขาขอคำแนะนำจากเรา และเล่าให้เราฟังเรื่องของเขาบ้างเล็กน้อย แต่เรื่องเล็กๆ นั่น กลับทำให้เราปะติดปะต่อเรื่องได้ขึ้นมา มันคือเรื่องที่ว่าด้วย “ความปรารถนาในการเป็นเจ้าของ” นักวิจัยหัวใจสตาร์ทอัพ? เขาเล่าว่าเขาทำงานที่ สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย) และบอกว่าปัญหาทุกวันนี้คือ นักวิจัยไม่ค่อยทำงานร่วมกัน เพราะต่างคนต่างก็ อยากเป็นเจ้าของงานวิจัย อยากสร้างผลงานของตัวเอง “โอ๊ะ ถ้างั้นพวกเขาก็เหมือนกับสตาร์ทอัพเลยค่ะ” เราหลุดออกไปทันที สตาร์ทอัพที่อินกับการแก้ปัญหา ก็มีอยู่จริง แต่เราว่าลึกๆ แล้วส่วนใหญ่แล้วคนที่สนใจสตาร์ทอัพ คือคนที่อินกับ “ความอยากเป็นเจ้าของกิจการ” เราเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เพราะโดยปกติแล้วเราจะรู้สึกว่า คนชอบสายวิชาการ (academic) กับคนชอบโลกธุรกิจจริง (real-world business) จะเป็นคนคนละประเภทกัน แต่จู่ๆ ก็มีจุดร่วมเดียวกันขึ้นมาเสียอย่างนั้น มองไปมองมา ประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่ว่าสายงานของเขาคืออะไร แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า คนยุคใหม่กำลังมีจิตวิทยาทางความคิดเหมือนๆ กัน คือเรื่องความอยากเป็นเจ้าของ ทั้งนักวิจัยและสตาร์ทอัพไม่ได้อยากทำงานเพื่อแก้โจทย์ปัญหาอย่างเดียว แต่อยากเป็นเจ้าของผลงาน ยิ่งถ้าอยู่ในวงการสตาร์ทอัพ คำว่า Founder (ผู้ก่อตั้ง) หรือ Co-founder (ผู้ร่วมก่อตั้ง) เป็นศัพท์ตำแหน่งที่ใช้บ่อยจนเป็นเรื่องปกติ หลายๆ คนที่ทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพ มักจะเคยถูกถามว่า “คุณใช่เจ้าของรึเปล่า?” การต้องตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าของค่ะ เป็นพนักงานเฉยๆ ค่ะ ฮ่าๆ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก มันก็อดถามคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า “แล้วฉันต้องตอบว่า ‘ไม่’ ไปจนถึงเมื่อไร?...

17 มิถุนายน 2016 · Orn

ท้าพิสูจน์การทดลอง “36 คำถามที่ทำให้คนตกหลุมรักกัน

เล่าประสบการณ์การทดลอง “36 คำถามที่ทำให้คนตกหลุมรักกัน” การตั้งคำถาม เพื่อสร้างความสนิทสนมกลมเกลียว เวิร์คจริงหรือไม่? จุดเริ่มต้น บังเอิญว่าเรารู้จักกับหนึ่งในผู้จัดงาน และเห็นเขาแชร์สิ่งนี้บนเฟสบุ๊ค "ma-d เปิดรับอาสาสมัครมาร่วมทดสอบงานวิจัย ค้นหาความลับของความสัมพันธ์มนุษย์ ด้วย 36 คำถามที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าจะทำให้คน(ไม่)แปลกหน้าตกหลุมรักกัน มาร่วมทดลองและสนทนาสนุกๆกับเรา ในวันที่ 20 มีนาคม 2559 13.00 – 17.00 น. ที่ Ma:D club เอกมัย ซอย 4 สามารถอ่านเกี่ยวกับงานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ psychologytoday (ลิสต์คำถามอยู่ที่นี่), gentlemanredux หรือชม TED talk เราเห็นรายละเอียดคร่าวๆ แค่นี้แหละ แล้วเราก็สมัครทันทีแบบไม่คิดอะไรมาก เราชอบเรื่องแนวจิตวิทยาอยู่แล้ว แถมเรารู้สึกว่าตัวเราเอง ไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องความสัมพันธ์กับคนซักเท่าไร เลยอยากลองดูเพื่อนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน ก่อนวันเข้าร่วม มีการทำแบบทดสอบ MBTI TEST จำนวน 132 ข้อ ซึ่งผลจากการทำแบบทดสอบก็คือ ผลลัพธ์ว่าคุณมีบุคลิกภาพแบบไหน ใน MBTI ทั้งหมด 16 แบบ ซึ่งของเรา เราได้ผลลัพธ์เป็นคนประเภท INFP (นักอุดมคติ) (ซึ่งก็โคตรตรงกะเราเลย) ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่ งานทดลองนี้จึงรับอาสาสมัครแค่ชายหญิง 10 คู่เท่านั้นเอง การจับคู่จะเป็นไปตามที่เตรียมงานเตรียมให้ ซึ่งในตอนแรกเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเลือกจากอะไร ที่แน่ๆ คือเป็นคู่ชายหญิงแปลกหน้า ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน...

20 มีนาคม 2016 · Orn

มหาลัยไม่ได้สอนให้ใช้กระดาน (แต่ถ้าต้องมาหาใคร อยากให้ใช้นะ)

4 ปีของเราพบว่า มหาวิทยาลัยไม่เคยสอนให้ใช้กระดาน …..ต้องบอกว่านอกจากจะไม่ได้สอนให้ใช้แล้ว ยังทำให้เราหลงลืมไปเลยด้วยซ้ำ ชีวิตอยู่ติดกับสไลด์ อาจารย์สอนพวกเราโดยใช้สไลด์ และอาจารย์ก็ให้พวกเรานำเสนอโดยใช้สไลด์ เราทำสไลด์นับหลายสิบ แต่ได้จับกระดานแค่เสี้ยวหลักหน่วย แล้วปัญหามันคืออะไรน่ะหรอ? วันนี้มีเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง เรื่องแรกนี่เกี่ยวกับ Startup เลย…เป็นเหตุการณ์ตอนที่เราและทีม SHIPPOP ไปคุยเจรจาธุรกิจกับบริษัทขนส่งรายใหญ่เจ้าหนึ่ง เขามีบริการที่หลากหลายครอบคลุม ทว่า..มีรูปแบบการคิดค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างตึงสำหรับลูกค้าธุรกิจ และในขณะที่คำถามและคำตอบเรื่องราคาและบริการถูกขว้างกันไปมาระหว่างสองฝ่าย ความเข้าใจไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเลย และดูเหมือนสถานการณ์จะชวนปวดหัว …จังหวะนี้เองที่พี่ป้อมของทีมเราได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกล่าวว่า “ผมขอใช้กระดานหน่อยนะครับ” สิ่งที่เราทึ่งมีอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือการที่เขาสามารถเรียบเรียงข้อมูลที่ขว้างกันไปมาตะกี้ มาอยู่ในรูปแบบกระดาน (table) ตั้งแต่ในหัวแล้ว ทันทีที่จับปากกา พี่แกก็วาด table แล้วเรียบเรียงข้อมูลลงไป และ table ก็ใช้เวลาวาดเร็วมาก เวลาที่ใช้มือเขียน ไม่ใช่เวลาที่ใช้คอม อย่างที่สองคือความเข้าใจที่ดีขึ้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ –เราทั้งหมดเห็นภาพที่ตรงกัน คุยกันเข้าใจมากขึ้น ชี้ที่ field ใน table แล้วถาม ตอบคำถามที่ field ใน table ตรงจุดขึ้น ไม่ใช่แค่ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น แต่บรรยากาศก็ดีขึ้นมากด้วย เรื่องที่สามคือสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ เราเริ่มเป็นฝ่ายที่คุมบทสนทนา เพราะเราเป็นฝ่ายที่ยืนขึ้น แถมยังถือของกลางอย่างปากกาและกระดานเอาไว้ ตั้งแต่โมเมนต์ที่เริ่มใช้กระดานนี่แหละที่เราเห็นว่าอะไรๆมันก็ดี๊ดีขึ้น ความเข้าใจเอย บรรยากาศเอย บทสนทนาเอยก็คุยได้ลื่นขึ้น เป็นทางการน้อยลง ถ้ายังรู้สึกไม่ชัดว่าคำว่าบรรยากาศการทำงานดีขึ้นเป็นยังไง เรื่องที่สอง น่าจะพอยกตัวอย่างได้ เพิ่งเมื่อวานนี้เองแหละ ในทีม ของเรามีการมีตติ้งกันเรื่องแผนงาน content ด้วยความที่เราทำงานหน้าคอมอยู่แล้ว เราก็ใช้คอมทำสไลด์ไป โดยที่เราหลงลืมไปเรื่องนึง …เวลามีตติ้งเนี่ย มันคือการเสนอไอเดียและแลกเปลี่ยนกันถูกไหม bullet points บนหน้าจอ ไม่นำไปสู่ productivity สุดท้ายพี่เขาก็เลยชวน move กันมา brainstorm บนกระดาน บนกระดานนี่เองเป็นที่ๆ collaboration เกิดขึ้นได้ บรรยากาศก็สบายๆขึ้นเยอะ ไอเดียน่ารักๆก็เกิดขึ้นได้ง่ายดายและรวดเร็ว...

20 กุมภาพันธ์ 2016 · Orn

ติวเข้มผู้ใหญ่น้องใหม่ ในช่วงตรุษจีน

บัดนี้…ดิฉันได้เดินทางมาถึงจุดที่ต้องยอมรับแล้วว่า… เราได้เติบโตมาถึงจุดที่ต้องกลับตารปัตรมาเป็นผู้ให้อั่งเปาแทนแล้วหรือนี่ เมื่อตอนเย็นก็ต้องติวเข้มภาษาจีนกับมาม๊าเพิ่มเติม เพราะเมื่อเป็นสถานะแล้ว conversation ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ขอนำความรู้มาแชร์ ณ ที่นี้ บทเรียนสนทนาวันตรุษจีน ㊀ กรณีผู้ให้อายุน้อยกว่าผู้รับ เช่น อรวีจะให้อาม่า และผู้รับเป็นผู้สูงอายุ อรวี: “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้เกี่ยงคัง” หรือ “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้เค็งเกี่ย” ซึ่งความหมายคือขอให้สุขภาพแข็งแรง เหมาะจะใช้กับคนสูงอายุ ㊁ กรณีผู้ให้อายุน้อยกว่าผู้รับแบบทั่วๆไป เช่น อรวีจะให้ป๊าม้า ซึ่งยังทำงานอยู่ อรวี: “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ตั่วถั่ง” ซึ่งหมายถึงขอให้กิจการรุ่งเรือง หรือใช้ “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” แปลว่าขอให้มีโชคลาภ ㊂ ผู้รับอายุมากกว่า เช่น อาม่าและป๊าม้า ที่ได้รับจากอรวี อาม่า ป๊า ม้า: “หยี่แกตั่งตั๊ง” แปลว่า เช่นกันนะจ้ะ ㊃ กรณีผู้ให้อายุมากกว่าผู้รับ เช่น อรวีจะให้น้องๆ กรณีนี้อีน้องๆต้องเข้ามาพูดกับอรวีก่อน น้อง: “ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” หรือเป็นซินนี้อื่นๆก็ได้แล้วแต่ เป็นต้น อรวี: “หยี่แกตั่งตั๊ง” หรือ “ซินเจียยู่อี่” เฉยๆก็ได้ ข้อควรจำ ทุกๆครั้งที่เจอหน้าใครก็ตามในช่วงตรุษจีน ให้พูด “ซินเจียยู่อี่” ก่อนเลย อาจตามด้วยคำอวยพรก็ได้ ในวันตรุษจีนจะมีการให้ส้มกันและกัน ซึ่งวิธีการก็คือ ผู้ให้นำส้ม 4 ลูก ไปให้ผู้รับ ผู้รับจะหยิบขึ้นมา 2 ลูก จากนั้นจะนำส้มของผู้รับเอง 2 ลูก ใส่กลับคืนเข้าไป รวมกับของผู้ให้ก็จะเป็น 4 ลูกเหมือนเดิม แล้วมอบคืนให้ผู้ให้...

6 กุมภาพันธ์ 2016 · Orn

รวม 15 ความทรงจำครั้งสำคัญในปี 2015

บันทึกความทรงจำ ปีแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นรอยต่อระหว่าง ครึ่งปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย และจบออกมาสู่โลกกว้าง ในเวลาต่อมา เป็นปีที่มีความสุข สนุก ได้เรียนรู้ และโตขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก 1) พี่ค่ายครั้งแรก 🗓️ มกราคม เราได้มีโอกาสเป็นรุ่นพี่ค่าย Young Webmaster Camp รุ่น 12 เกิดมาไม่เคยเป็นรุ่นพี่ค่ายมาก่อนเลย สำหรับเราเป็นงานที่ท้าทายมากเลยนะ เพราะปกติเราจะเป็นคนซอฟต์ และมักจะดูเด็กเกินไปเสมอ จึงเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ได้ท้าทายตัวเองและออกจาก comfort zone สิ่งที่ได้รับ: ฝึกความเป็นผู้นำ ฝึกการประสานงานต่างๆ สิ่งที่ได้ให้: ได้ชื่อว่าเป็นพี่กลุ่มที่ใจดีที่สุด ฮ่าๆๆๆ ( ที่จริงไม่ดีหรอก ใจดีเกินไป 😛 ) สิ่งที่ไม่มีวันลืม: ”พี่อร พี่อร พี่อร พี่อร” ทุกๆคนในกลุ่มเรียกเราว่าพี่ ถึงแม้จะมีหลายคนที่จริงๆก็อยู่รุ่นเดียวกัน แต่ก็ยังยืนยันจะเรียกเราว่าพี่ตลอดไป ตลกดี ฮาาา 2) แข่งขันซอฟแวร์ครั้งแรก 🗓️ กุมภาพันธ์ เรียน ICT มาจะจบสี่ปีแล้ว เอาจริงๆเรายังไม่เคยแข่งขันอะไรที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือซอฟแวร์เลยยยย เป็นครั้งแรกที่ได้นำโปรเจคไปแข่งตามเวทีระดับนักศึกษา งานแรกคือ NSC (National Software Contest) เชื่อไหมว่าแข่งด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ อยากได้คะแนนพิเศษ เพราะที่คณะจะมีคะแนนพิเศษให้คนที่เข้ารอบ เหตุผลเด็กสุดๆไปเลยเนอะ? แต่ใครจะเชื่อว่าการลงแข่งด้วยเหตุผลเด็กๆ จะเปลี่ยนชีวิตเราได้ ความจริงเราเพิ่งจะมารู้จักการทำ Proposal กับการฝึกพรีเซนต์ก็ช่วงนี้แหละ …โดยไม่คาดคิดเลย ว่าในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ชีวิตของเราจะมาเอี่ยวกับงานพรีเซนต์และงานแข่งมากกว่าที่ตัวเองเคยคิดไว้...

29 ธันวาคม 2015 · Orn

[รีวิว] เล่าหมดเปลือก หนึ่งเดือนใน JUMC ( Junior MBA Chula)

จำลองการเรียน MBA ที่จุฬา ผสมผสานกับกิจกรรมบูรณาการต่างๆ นี่คือนิยามแบบสั้นๆสำหรับ JUMC โครงการ 1 เดือน ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นเวลานับสิบปีแล้ว มีคำถามจากเพื่อนฝูงหลั่งไหลเข้ามามากมายตั้งแต่อรวีได้เข้าร่วมโครงการ JUMC รุ่นที่ 10 เชื่อว่าคำถามเหล่านี้มีประโยชน์กับผู้ที่สนใจสมัครโครงการในรุ่นต่อๆไป และอรวีก็จะขอตอบสไตล์ "เพื่อนตอบเพื่อน" คือคำตอบจะอิงกับความรู้สึกจริงมากที่สุด ไม่มีอ๊งไม่มีแอ๊บ นอกจากนี้จะขอแนะนำ JUMC NEXT 11 เจเนอเรชั่นใหม่ของ JUMC! Context: บล็อกนี้เขียนขึ้นในรุ่น JUMC10 ปี 2015 ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงแล้วในปัจจุบัน และเขียนขึ้นตอนอรเป็นเด็กจบใหม่ อายุ 22 ซึ่งเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น และยังไม่เคยทำงานประจำมาก่อน ดังนั้นมุมมองก็จะเป็นมุมมองของคนวัย 22 นะคะ Junior MBA Chula คืออะไร? ขออ้างอิงคำตอบจากภาพนี้ เอาเป็นว่าสำหรับรายละเอียดอย่างเป็นทางการทั่วๆไปของโครงการ ขอให้ทุกท่านติดตามผ่านช่องทางของโครงการโดยตรง ได้แก่ เว็บไซต์ ไม่ก็เฟสบุ๊คโครงการได้นะคะ ทำอะไรกันบ้างในหนึ่งเดือน? Lecture โดยอาจารย์จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ แต่ละวันประกอบไปด้วย Lecture ประมาณ 1-2 คลาส เช่น เรื่องบัญชีบริหาร, organizational behavior และคอร์สเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น real estate ที่เราได้เคยเขียนสรุปไว้แล้ว เป็นต้น ใครสนใจอ่านได้ตามนี้เลยค่ะ (อันนี้ตั้งแต่ปี 2015 น้า) บรรยายโดย Guest Speaker นอกจากเลคเชอร์โดยอาจารย์สายวิชาการแล้ว ในแต่ละวันก็จะมีการเชิญ Guest Speaker ประมาณ 1-2 คนมาให้การบรรยาย อย่างของ JUMC10 ก็มี Modern Branding โดยคุณรวิศ หาญอุตสาหะ, Global Logistic Trend โดยคุณอานุสรา จิตต์มิตรภาพ, SME โดยคุณสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล เป็นต้นโดยส่วนตัวเราค่อนข้างชอบ session นี้มาก ได้แรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม...

23 ตุลาคม 2015 · Orn

เพราะอะไร Ice Bucket Challenge จึงเป็นมากกว่าแคมเปญสาดน้ำเย็นเฉียบ

ตัวอย่างของแคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น ALS ice bucket challenge …แค่สาดน้ำเย็นเนี่ยนะ? นั่นคือสิ่งที่เราคิด ตอนที่ได้ยินเรื่องราวครั้งแรก แต่เชื่อไหมคะว่า เจ้าองค์กรการกุศล ALS Association นี้ สามารถรวบรวมเงินบริจาคได้ถึง 5.7 ล้านเหรียญภายใน 2 สัปดาห์!! แคมเปญตัวนี้สามารถรวบรวมเงินบริจาคได้มหาศาล และยังกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงโรค ALS นับว่าเป็นความสำเร็จที่น่าศึกษา สิ่งที่คนที่เล่น challenge นี้ทำกันคือ การเตรียมถังใส่น้ำเย็นยะเยือกปานน้ำแข็ง แล้วเทน้ำราดลงหัวตัวเอง! พร้อมกับถ่ายวีดีโอไว้ซะ จากนั้นภารกิจก็คือพวกเขาจะต้องท้าทาย ชักชวนเพื่อน ให้ทำตามให้ได้อย่างน้อย 3 คน ภายใน 24 ชม. ซึ่งหากทำไม่สำเร็จ จะต้องช่วยบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยโรค ALS แคมเปญนี้ดึงดูดความสนใจของคนได้อย่างไร? 1. มันไม่ยาก และใช้ความบ้าไม่มากไม่น้อยเกินไป เกมนี้เล่นได้ง่ายมาก ของที่ต้องใช้มีแค่ ถังน้ำ น้ำเย็นมากๆ อุปกรณ์ถ่ายวีดีโอ สิ่งที่ต้องทำมีแค่เตรียมของเหล่านั้น ราดน้ำใส่หัวตัวเอง แล้วโพสต์วีดีโอ ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ทรมานไม่มากไม่น้อยเกินไป จะเห็นได้ว่า ความเรียบง่าย เป็นคีย์เวิร์ดของเกมนี้ 2. มันสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่าง มันไม่ใช่แค่การแชร์คลิปคลิปเดียวซ้ำๆไปมา แต่วีดีโอในแคมเปญนี้ล้วนแตกต่างกัน ต่างคนก็ต่างสร้าง ผู้ท้าทายสามารถใส่ไอเดียลูกเล่นของตัวเองลงไปได้ เพื่อให้วีดีโอของเขาดูแตกต่าง น่าสนใจ น่าสนุก สิ่งเดียวถือเหมือนกันคือกติกา และ hashtag #icebucketchallenge...

20 สิงหาคม 2014 · Orn